‘CBO’ คืออะไร ช่วยลดค่าแอดยังไง และทำไมต้องใช้ในปีนี้!
เมื่อช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา หลาย ๆ คนที่ยิงแอดโฆษณาเพื่อขายสินค้าบน Facebook หรือ Instagram คงได้ยินข่าวว่าเฟซบุ๊กเตรียมถอดการตั้งงบประมาณส่วน Ad Set หรือระดับชุดโฆษณาออกไป และจะมาแทนที่ด้วย CBO หรือ Campaign Budget Optimization
แต่ ณ ปัจจุบันพบว่ายังมีนักการตลาดออนไลน์หลาย ๆ คนยังไม่คุ้นชินกับชื่อนี้กันสักเท่าไหร่ และมีหลายคนสงสัยว่า CBO คืออะไร ทำงานยังไง มีข้อดีอะไร ทำไมต้องใช้ในปีนี้ ดังนั้นในบทความนี้ ‘Digihack’ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ CBO ให้มากขึ้นกัน มาดูกันได้เลย
สารบัญเนื้อหา
1) CBO คืออะไร
2) เปรียบเทียบการกำหนดงบประมาณแบบเก่ากับ CBO
2.1) การกำหนดงบประมาณแบบเก่า (Ad Set)
2.2) การกำหนดงบประมาณแบบ CBO
3) CBO ช่วยลดค่าแอดยังไง ทำไมต้องใช้ในปีนี้
4) 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ใช้งาน CBO
5) สรุป
CBO คืออะไร
CBO ย่อมาจาก Campaign Budget Optimization เป็นเครื่องมือที่ Facebook จะทำการปรับการทำงานของโฆษณาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยการตั้งงบประมาณในระดับแคมเปญ (Campaign Level) จากนั้นระบบของ Facebook จะทำการจัดสรรงบประมาณในระดับชุดโฆษณา (Ad Set) ให้อัตโนมัติ โดยการยิงแอดโฆษณาไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุด
ถ้าเปรียบเทียบกับการกำหนดงบประมาณแบบเก่า ในการกำหนดงบประมาณในการยิงแอดโฆษณานั้น คุณจะต้องเข้าไปกำหนดงบประมาณด้วยตนเองในระดับชุดโฆษณาหรือ Ad Set แต่สำหรับ CBO นั้น เพียงแค่คุณกำหนดงบประมาณที่คุณมี จากนั้น Facebook จะจัดสรรงบประมาณในแต่ละ Ad Set ให้โดยอัตโนมัติ และเลือกอัดงบประมาณไปในชุดโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
เปรียบเทียบการกำหนดงบประมาณแบบเก่ากับ CBO
การกำหนดงบประมาณแบบเก่า (Ad Set)
- ตัวอย่างเช่น คุณมีชุดโฆษณาอยู่ทั้งหมด 3 Ad Set คือ Ad Set A, Ad Set B และ Ad Set C
- มีงบประมาณในการยิงแอดโฆษณาทั้งหมด 600 บาท
- จะต้องแบ่งงบประมาณที่มีอยู่เท่า ๆ กันทุก Ad Set เนื่องจากคุณยังไม่ทราบว่าโฆษณาชุดไหนจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน เท่ากับว่าจากงบประมาณที่มีอยู่ จะต้องแบ่งไปในแต่ละชุดโฆษณา ได้ Ad Set ละ 200 บาท
- ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาส และเสียงบประมาณไปโดยใช่เหตุในการทดสอบว่าชุดโฆษณาไหนได้ผลดีที่สุด
การกำหนดงบประมาณแบบ CBO
- ตัวอย่างเช่น ในแคมเปญคุณมีชุดโฆษณาอยู่ทั้งหมด 3 Ad Set คือ Ad Set A, Ad Set B และ Ad Set C เช่นเดียวกับการกำหนดงบประมาณแบบเก่า
- มีงบประมาณในการยิงแอดโฆษณาทั้งหมด 600 บาทเท่ากัน
- กำหนด Campaign Budget หรืองบประมาณที่จะใช้เป็น 600 บาท
- ระบบ Facebook จะทำการทดสอบว่า Ad Set A / Ad Set B หรือ Ad Set C ชุดโฆษณาชุดไหนให้ผลลัพธ์ดีที่สุด จากนั้นระบบจะอัดงบประมาณไปในชุดโฆษณาที่มีผลลัพธ์ดีที่สุด
CBO ช่วยลดค่าแอดยังไง ทำไมต้องใช้ในปีนี้
- ใช้งานได้ง่าย ประหยัดงบประมาณ และประหยัดเวลาในการทดสอบผลลัพธ์แต่ละ Ad Set ด้วยตัวเอง
- ใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในราคาต่อผลลัพธ์ที่ต่ำที่สุด เพราะระบบ CBO จะอัดเงินให้กับ Ad Set ที่มี CPR ต่ำที่สุด
- ลดความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย (Audience Overlap) ที่เป็นต้นเหตุให้โฆษณาเกิดปัญหาไม่รันได้ (ในการกำหนดงบประมาณแบบเก่า) หากใช้ระบบ CBO จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาตรงนี้ได้ เพราะระบบจะมุ่งไปที่ Ad Set ที่มีผลลัพธ์ดีที่สุด รวมถึงจะไม่แสดงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ทับซ้อนกันระหว่างชุดโฆษณาอีกด้วย
- ระบบไม่ต้องเริ่มต้นการเรียนรู้ใหม่ (Learning Phase) หมายความว่า ในกรณีที่คุณกำหนดงบประมาณแบบเก่า ทุกครั้งที่ปรับ Budget ใหม่ในแต่ละ Ad Set ระบบ Facebook ก็จะ Learning Phase ใหม่ทุก ๆ ครั้ง ทำให้เสียงบประมาณบางส่วนไปกับช่วงนี้ แถมยังต้องเสียเวลาให้ระบบเรียนรู้อีกด้วย แต่หากใช้ CBO ก็จะไม่มี Learning Phase เพราะระบบจะปรับงบประมาณให้โดยอัตโนมัติ
4 ขั้นตอนง่าย ๆ ใช้งาน CBO
- ไปที่ Facebook Ads Manager หรือคลิกลิงก์ https://www.facebook.com/business/tools/ads-manager
- จากนั้นคลิกสร้างแคมเปญใหม่
- คลิกปุ่มเปิด Campaign Budget Optimization หรือภาษาไทยว่า การปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ ให้เป็น ON
- ตั้งค่า Campaign Budget (งบประมาณ), Campaign Bid Strategy (กลยุทธ์การประมูลราคาโฆษณา), Ad Scheduling (เวลาทำงานของโฆษณา) และ Delivery Type (วิธีการนำส่งโฆษณา) ตามต้องการ
สรุป
CBO หรือ Campaign Budget Optimization เป็นเครื่องมือที่ Facebook จะช่วยจัดสรรงบประมาณในระดับชุดโฆษณาให้โดยอัตโนมัติ ทำให้การยิงโฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ผู้ลงโฆษณาทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งจากคำถามที่ว่าทำไมต้องใช้ CBO ในปีนี้ ช่วยลดค่าแอดยังไง สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ ประหยัดงบประมาณและเวลา, ใช้งบประมาณได้คุ้มค่า, ลดความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย และระบบไม่ต้องเริ่มต้นการเรียนรู้ใหม่
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์โฆษณาก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์, เทรนด์ต่าง ๆ หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ดังนั้นผู้ลงโฆษณาก็ต้องดูสถิติ วิเคราะห์ข้อมูล และปรับกลยุทธ์ให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ